จมหายไป 6 วันพบแล้วร่าง “น้องซัน” กู้ภัยหนุ่ม ลงงมช่วยเหยื่อเรือชนที่เขื่อนเชี่ยวหลาน

กรณีนักประดาน้ำมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี เข้าค้นหาผู้สูญหายจากอุบัติเหตุเรือท่องเที่ยวชนเรือขนาดเล็กของชาวบ้านที่กำลังลากจูงไม้ไผ่ ภายในอ่างเก็บน้ำเขื่อนรัชประภา เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นายประจิตร สายเสมา อายุ 69 ปี จมน้ำหายไป ขณะที่นางประจบ ตาดำ อายุ 67 ปี ภรรยาปลอดภัย โดยชุดประดำน้ำที่มี นายกิตติศักดิ์ บุญมานนท์ หัวหน้าหน่วยกู้ภัยพร้อมนักประดาน้ำรวม 4 ราย ลงค้นหาแต่เกิดทุ่นหลุดทำให้นักประดาน้ำโผล่จากน้ำ 3 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะแรงกดอากาศที่รุนแรง ขณะที่นายชยุตม์ ทิพย์ชิต หรือน้องซัน อายุ 21 ปี สูญหายไป จนมีการระดมค้นหาอย่างต่อเนื่อง ตามที่เสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ครอบครัวและญาติพี่น้องของนายชยุตม์ และนายประจิตร ทำพิธีขอขมาพระแม่คงคาและขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเปิดทางให้ได้พบร่างของทั้ง 2 คน โดยทีมนักดำน้ำชาวไทยและชาวต่างประเทศ ประมาณ 20 คน เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำลงค้นหาผู้สูญหายทั้ง 2 คน ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน ร่างของนายชยุตม์ ในชุดนักประดาน้ำลอยขึ้นผิวน้ำห่างจากจุดเกิดหน้าถ้ำจันทร์ ประมาณ 20 เมตร ลักษณะนอนคว่ำหน้า มีถังออกซิเจนติดอยู่ด้านหลังและเท้าทั้ง 2 ข้างสวมรองเท้ายางมนุษย์กบตามเดิม ในสภาพร่างกายเริ่มเปื่อย สร้างความแปลกใจให้กับทีมนักประดาน้ำทั้งที่การค้นหา 5 วันที่ผ่านมาได้ลงดำค้นหาบริเวณดังกล่าวตลอดมาแล้ว จึงนำร่างนายชยุตม์ขึ้นเรือกู้ภัยนำมาส่งบนฝั่ง ท่ามกลางญาติพี่น้องที่รออยู่ จำนวนมากบรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าสลดโดยมีนายวัฒนะ ทิพย์ชิต บิดานายชยุตต์ เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด

จากนั้นได้เคลื่อนย้ายศพน้องซัน ไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่วัดโพธิ์น้อย ต.ตะกุกใต้ อ.วิภาวดี ต่อมาเวลา 13.00 น. นายศุภวัช ศักดา รอง ผู้ว่าราชการสุราษฎร์ธานี พร้อมญาติพี่น้องร่วมทำพิธีรดน้ำศพ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า

นายวงศศิริ พรหมชนะ ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ได้รับรายงานพบศพนายชยุตย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี และเป็นญาติของนายศุภวัช ศักดา รอง ผวจ.สุราษฎร์ธานี ได้ขออนุญาตเดินทางไปรับศพด้วยตัวเอง เดิมคิดว่าจะพบศพนายประจิตรขึ้นมาก่อน โดยครบ 6 วันเป็นไปตามการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการค้นหามีความยากลำบากมาก เนื่องจากพื้นที่ใต้น้ำมีความลาดชันและน้ำลึกมาก ต้องระดมนักดำน้ำจากหลายแห่งเข้ามาช่วยทั้งกู้ภัย ครูฝึก ปภ.ครูสอนดำน้ำนครศรีธรรมราช ภูเก็ตและเกาะเต่า

“ได้รับรายงานสาเหตุ 3 ประเด็นว่า คนขับเรือหางยาวท่องเที่ยวที่ก่อเหตุมีสภาพตาบอดสี มองไม่เห็นในระยะ 5 เมตร และสอบไม่ผ่านใบอนุญาตนายท้ายเรือ นอกจากนี้ เรือขาดต่ออายุกับต่อใบประกัน และนายท่าเรือปล่อยเรือออกมาได้อย่างไร จึงมอบให้เจ้าท่าภูมิภาค สาขาสุราษฎร์ธานี ไปสอบสวนรายงานให้ทราบ” นายวงศศิริ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานียกย่องการทำหน้าที่กู้ภัยของนายชยุตย์ เป็นวีระบุรุษที่มีความเสียสละสูงเป็นอย่างมาก ทำหน้าที่ช่วยคนอื่นจนตัวตาย โดยพากันแสดงความคิดเห็นผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก และไลน์กันเป็นจำนวนมาก ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461845072

"ยิ่งลักษณ์" ชวนประชาชนเดินตลาดในยุคเศรษฐกิจแบบนี้

"ปู" เดินตลาดใกล้บ้าน ซื้อข้าวแกง-ทาโกยากิฝาก "น้องไปป์" พร้อมชวนปชช.เดินตลาดในยุคเศรษฐกิจแบบนี้

เมื่อวันที่ 28 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินตลาดพิณทอง ลาดพร้าว 101 โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เลือกซื้อผักสดชนิดต่างๆ ข้าวแกงสำเร็จรูปเพื่อนำไปรับประทานในช่วงเย็น โดยได้ซื้อทาโกยากิฝากน้องไปป์ด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ตลาดพิณทอง เป็นตลาดสดที่อยู่ใกล้บ้านแต่ต้นไม่เคยมีโอกาสได้มาเดินสักครั้ง วันนี้มีโอกาสจึงแวะมาเดิน ก็รู้สึกว่าเป็นตลาดที่มีขอดีมีคุณภาพ จำนวนมากวางจำหน่าย ก็อยากเชิญชวนพี่น้องชาวไทย ให้เดินตลาดใกล้บ้านเพราะจะได้ทั้งของที่สด ดี มีคุณภาพ ราคาประหยัด ซึ่งเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างรุมขอถ่ายรูป พร้อมกับให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวนมาก

ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461846556

รวบแล้วมือปืนยิงหนุ่มช่างไฟ แค้นถูกชกหลังเถียงเรื่องพระปลอม-แท้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 เม.ย. พ.ต.อ.สมหมาย ประสิทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมด้วย พ.ต.ต.พิรพัสส์ ชูช่วย สว.สส. พ.ต.ต.ศุภฤกษ์ จงรักษ์ สว.สส. และชุดสืบสวน สภ.คลองห้า ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัว นายเขมชาติ พึ่งเพ็ง อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16/1 หมู่ 15 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตามหมายจับศาลธัญบุรีที่ 294/59 ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครองครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และนายบุญกลับ หรือทิ้ง แสงรีย์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/7 หมู่ 15 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตามหมายจับศาลธัญบุรีที่ 295/59 ข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่ พฤติการณ์

และน.ส.ละเมียด แหยมเจริญ อายุ 55 ปี 20 หมู่ 11 ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมด้วยของกลาง อาวุธปืนลูกซองยาว แบบสไลด์ ยี่ห้อ อาร์มสกอร์ หมายเลขทะเบียน กท 4551682 พร้อมเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 11 นัด นายเขมชาติ ให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเข้าไปกินเหล้าที่เกิดเหตุ โดยมีผู้ตายและนายบุญกลับหรือทิ้ง แสงรีย์ อยู่ด้วย จากนั้นผู้ตายถอดพระมเหศวรที่ห้อยอยู่ที่คอมาให้ดู พร้อมกับบอกว่าจะขายให้ เมื่อตนได้ดูแล้วพบว่าพระดังกล่าวเป็นพระเก๊ ตนจึงบอกว่าของปลอมไม่เอาหรอก ทำให้ผู้ตายไม่พอใจ และมีปากเสียงกัน ถึงขั้นชกต่อยกัน ซึ่งตนสู้ไม่ได้ จึงกลับบ้านเพื่อไปเอาปืนลูกซองที่บ้าน แล้วโทรให้นายบุญกลับมารับพร้อมปืนกระบอกดังกล่าว เมื่อไปถึงห้องคนตายไม่อยู่ ตนจึงนั่งรอจนผู้ตายเดินกลับเข้ามา ตนจึงใช้อาวุธปืนลูกซองยิงไป 1 นัด จากนั้นตนจึงให้ญาติผู้ใหญ่เอาปืนไปฝากน.ส.ละเมียด ก่อนที่จะเดินทางหลบหนีไปอยู่ที่สวนยางบ้านญาติ ที่จังหวัดจันทบุรี จนเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว ด้าน พ.ต.อ.สมหมาย กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2559 เวลาประมาณ 23.00 น. สภ.คลองห้า ได้รับแจ้งเหตุมีชายถูกยิงเสียชีวิต เหตุเกิดที่บริเวณ โกดังเก็บเครื่องเสียง เลขที่ 15 หมู่ที่ 15 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้ร่วมกันตรวจสถานที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 1 คน ชื่อ นายสำเริง หรือโอ๋ เดชสิริ อายุ 26 ปี มีบาดแผลถูกยิงที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายเป็นกระสุนลูกซอง จำนวน 9 รู พบปลอกกระสุนปืน ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 ปลอกตกอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ห่างจากศพผู้ตาย ประมาณ 5 เมตร บริเวณที่เกิดเหตุ มีกล้องวงจรปิด ที่ใช้การได้ จำนวน 7 ตัว จากการสืบสวน โดยตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุโดยละเอียด และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สามารถใช้การได้ และซักถามพยานแวดล้อม จนทราบว่าผู้ก่อเหตุ คือนายเขมชาติ และนายบุญกลับ จึงติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ส่วนอาวุธปืนของกลาง พบอยู่ที่น.ส.ละเมียด ซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเก็บอาวุธปืนไว้ให้นายเขมชาติ หลังจากก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมตัวมาดำเนินคดี อีกส่วนหนึ่งด้วย จากนั้น นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน เจ้าของคดีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461846941

สภ.บ่อวินจัดกิจกรรม “โรงพักเคลื่อนที่ ปรับทุกข์ ผูกมิตร”

สภ.บ่อวินจัดกิจกรรม “โรงพักเคลื่อนที่ ปรับทุกข์ ผูกมิตร” ให้บริการประชาชนตามตลาดนัดตอนเย็นอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนถึงที่!! เมื่อเวลา17.30น.(28เม.ย.59)ที่ตลาดนัดบ้านหุบบอน หมู่1 ต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา พ.ต.อ.กรพัฒน์ หอมหวล ผกก.สภ.บ่อวิน พร้อมด้วยพ.ต.ท.ไพโรจน์ เพร็ชพลอย รองผกก.(ป.) ร.ต.อ.สุพรรณ ใจหาญ รองสวป.ทำหน้าที่หัวหน้าชุดปักกลด จัดกิจกรรม “โรงพักเคลื่อนที่ ปรับทุกข์ ผูกมิตร” โดยยกโรงพักนำกำลังตำรวจลงพื้นที่ให้บริการประชาชนที่อาศัยอยู่ในบ้านหุบบอน ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.บ่อวิน และไม่สะดวก ที่จะเดินทางมาที่สถานีตำรวจ โดยมีพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ประจำวัน ตำรวจชุดมวลชนสัมพันธ์ ไปอำนวยความสะดวก รับแจ้งเหตุ แจ้งเอกสารหาย ปรึกษาปัญหาข้อกฏหมายปัญหาคดีความ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่ทำงานตามโรงงานซึ่งทำงานเช้าเลิกเย็นไม่มีเวลามาแจ้งความที่สถานีตำรวจ โดยมีทั้งการรับแจ้งความ เรื่องราวร้องทุกข์ ให้คำปรึกษาด้านคดี หรือแม้แต่เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายรับผิดชอบของตำรวจ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน หรืออาชีพ รวมทั้งปัญหาครอบครัว เพื่อประสานหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการช่วยเหลือต่อไปโดยทางตำรวจสภ.บ่อวินจะตั้งโต๊ะรับแจ้งความ ปรึกษาปัญหากฏหมายในช่วงเย็นตั้งแต่เวลา17.30-19.30น.หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ โดยที่จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินโฆษณาเชิญขวนประชาชนในตลาดนัดให้ได้รับทราบถึงการจัดโครงการโรงพักเคลื่อนที่ ปรับทุกข์ ผูกมิตร และมาใช้บริการ หลายครั้งแล้วได้รับการต้อนรับจากประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของตามตลาดนัดได้มาปรึกษาในเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างดี แม้แต่เรื่องปัญหาครอบครัว สามีภรรยา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เปิดให้คำปรึกษาได้ และยังได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจในพื้นที่ เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานของตำรวจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญยังเป็นการผูกมิตร และสร้างความใกล้ชิดระหว่างตำรวจกับประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชน ผู้นำท้องถิ่น ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการจัดกิจกรรมโครงการสถานีตำรวจเคลื่อนที่นี้ ก็เป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผบก.ภ.จว.ชลบุรีที่ได้มอบนโยบายมาให้สถานีตำรวจในพื้นที่ได้ทำการปรับทุกข์ ผูกมิตร กับประชาชน ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461848175

พายุหมุนพัดถล่มพิจิตร โรงเรียนพังทั้งอาคาร ต้นไม้หักโค่นทับชาวบ้านเต้นแอโรบิกเจ็บ

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 28 เม.ย. เกิดพายุฤดูร้อนพัดถล่มอย่างหนักนาน 30 นาที ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอของจ.พิจิตร โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองพิจิตร มีลมกระโชกแรงต้นไม้ขนาดใหญ่หักโค่นระเนระนาด ฟิวส์หม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูงระเบิดหลายจุด กระไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง และกระแสลมดังกล่าวที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงได้พัดอาคารทรงไทยประยุคของโรงเรียนสระหลวงพิทยาคม อ.เมืองพิจิตร พังถล่มลงมาทั้งอาคารเสียหายทั้งหลัง โดยอาคารดังกล่าวใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1.9 ล้านบาท เพิ่งส่งมอบเพียงเดือนกว่าๆ นอกจากนี้ลมพายุหมุนดังกล่าวยังพัดอาคารรับแขกของโรงเรียนสระหลวงพังอีก 1 หลัง

นอกจากนี้บริเวณลานออกกำลังกาย หน้าศาลจังหวัดพิจิตรหลังเก่า ขณะประชาชนกำลังออกกำลังกายเต้นแอโรบิก ต้นมะขามขนาดใหญ่ได้หักโค่นทับผู้มาออกกำลังกายได้รับบาดเจ็บ 1 คน หน่วยกู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลพิจิตร และทับรถจักรยานยนต์เสียหายอีก 1 คัน ขณะนี้ทางป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิจิตร ได้ระดมหน่วยกู้ภัยหลายแห่ง เร่งตัดต้นไม้ที่กีดขวางทับเส้นทางต่างๆ หลายจุด เพื่อเปิดการจราจร ต่อมานายพิษณุ เสนาวิน รองผวจ.พิจิตร ได้เดินทางไปยังบริเวณโรงเรียนสระหลวง เพื่อตรวจสอบและช่วยเหลือเร่งด่วน นอกจากนี้ยังสั่งการให้ทุกอำเภอเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดพายุหมุน ซึ่งในขณะนี้มีรายงานเข้ามาแล้ว 4 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมืองพิจิตร อ.ดงเจริญ อ.บึงนางราง อ.ดงเจริญ และอ.บางมูลนาก ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461848731

ตร.ล็อกตัว"จ่านิว"ไปสน.ยานนาวา หลังยืนเฉยๆที่สกายวอล์ก

เมื่อเวลา 18.00 วัน 28 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณบนสกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ถนนสาธร แขวง สีลม เขตบางรัก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่ิองแบบกว่า 100 นาย คอยสังเกตการณ์ และความเคลื่อนไหว หลังจากมีข่าวเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กว่าจะมี กลุ่มพลเมืองโต้กลับ มาทำกิจกรรมณ บริเวณลานกลางสกายวอล์ก โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลัง มาคอยดูแล พร้อมทั้งนำแผงมากั้นพื้นที่ บริเวณนี้ ทางด้าน พ.ต.อ พงษ์ศักดิ์ ทรัพย์ละออ ผกก สน ยานนาวา ได้เปิดเผยว่า วันนี้ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า100 นาย มาดูแลความปลอดภัย ทั้งนี้ได้ทราบข่าวว่าจะมีการนัดชุมนุม ของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ว่าจะมาชุมนุมกันที่นี้ ทั้งนี้ โดยการชุมนุมในที่สาธารณะต้องแจ้ง กับทางเจ้าหน้าที่ท้องที่ให้ทราบ และตาม พ.ร,บ ชุมนุมในที่สาธารณะ ก่อน 24 ชั่วโมง ฉบับปี พ.ศ2558 และไม่สามารจะดำเนินการจัดกิจกรรมและดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ ได้ ไม่อย่านั้นจะผิดกฏหมาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเวลา 18.15 น. นายสิรวิชญ์ เสรีธธีวัฒน์ หรือจ่านิว นักศึกษาธรรมศาสตร์ มายืนเฉยๆ อยู่ที่สกายวอล์ก ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวไปสน.ยานนาวา ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ทำปล่อยตัวออกมาแล้ว ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461849287

คืบหน้าเหตุทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ตำรวจมั่นใจจับคนร้ายที่เหลืออีก1รายได้แน่นอน

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 เมษายน 2559 พ.ต.อ.ไชยกร ศรีหล้าเดโช ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหัวหิน เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าในเหตุทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 3 ราย ได้แก่ นายลูอิส โอเว่น อายุ 68 ปี ได้รับบาดเจ็บที่หน้าผากเป็นแผลแตก, นางโรสแมรี่ เฮ โอเว่น อายุ 68 ปี ภรรยา เป็นแผลฟกช้ำที่ใบหน้าและศีรษะ และนายลูอิส จอน โอเว่น อายุ 43 ปี ลูกชายได้รับบาดเจ็บเป็นแผลแตกที่ศีรษะ เหตุเกิดเมื่อเวลา 01.30 น.บริเวณปากซอยบิณฑบาต หน้าวัดหัวหิน เมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมานั้น

โดยหลังเกิดเหตุได้สอบสวนขยายผล โดยมีหลักฐานสำคัญเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดตรงจุดเกิดเหตุ ก่อนนำไปสู่การติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ก่อน 2 ราย เมื่อวัน17 เมษายน ได้แก่ นายสุภัททา หรือ หม่อง ใบทอง อายุ 32 ปี, นายยิ่งใหญ่ หรือ เอ็ม แสงคำอินทร์ อายุ 32 ปี และล่าสุดสามารถจับกุมเพิ่มเติมได้อีก 1 คนแล้ว ชื่อนายศิวะ หรือเหน่ง นกศรี อายุ 20 ปี โดยพนักงานสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3รายฝากขังที่ศาลจังหวัดหัวหินแล้ว โดยทราบว่านายสุภัททา มีญาตมาประกันตัวไป ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือถูกส่งไปขังที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ว ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 1 ราย ล่าสุดทราบชื่อที่อยู่แล้วและได้ขออนุมัติศาลเพื่อออกหมายจับแล้ว เช่นกัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพื่อขอขยายผลติดตามจับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 1 รายก่อน โดยได้ออกหมายจับแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้ตัวในเร็ววันนี้ ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ให้การรับสารภาพว่า เหตุของการทะเลาะวิวาท เริ่มมาจากการที่ นายลูอิส จอน โอเว่น ได้เดินไปชนแขน นายสุภัททา ผู้ต้องหา ซึ่งขณะนั้นอยู่ในอาการมึนเมาจนเซถลา ทำให้ นายสุภัททาไม่พอใจ จึงผลักหน้าอกนายลูอิส จอน จนล้มคว่ำไป เมื่อนายลูอิสกับนางโรสแมรี่ เห็นเหตุการณ์ จึงตรงเข้าช่วยเหลือ ขวางไม่ให้ทำร้ายลูกชาย แต่นายสุภัททาไม่ฟังเสียง กลับเรียกพวกรวม 4 คน มารุมทำร้ายชกต่อยนักท่องเที่ยวทั้ง 3 คน จนได้รับบาดเจ็บ ล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนที่ทั้งหมดจะวิ่งหลบหนีไป จะมีคนช่วยกันนำตัวนักท่องเที่ยวส่งโรงพยาบาลหัวหินเป็นการด่วน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษทั้ง 3 คน ตัวลูกชาย นายลูอิส จอน โอเว่น เดินทางกลับต่างประเทศไปแล้ว ส่วน นายลูอิส โอเว่น อายุ 68 ปี และนางโรสแมรี่ เฮ โอเว่น อายุ 68 ปี ภรรยา มีกำหนดการเดินทางกลับประเทศอังกฤษในวันที่ 3 พฤษภาคม นี้ ซึ่งนางโรสแมรี่ เฮ โอเว่น ยังมีอาการปวดศีรษะอยู่ และยังต้องให้แพทย์ตรวจรักษาอากาศบาดเจ็บต่อ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปสอบปากคำไว้ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางกลับต่างประเทศแล้ว นายศักดิ์ชัย คำสำลี อายุ 39ปี เจ้าของธุรกิจให้เช่ารถจักรยานยนต์ ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเล่าว่า ในวันเกิดเหตุเป็นวันสงกรานต์ โดยปีนี้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ซอยบิณฑบาตรนับหมื่นราย ซึ่งมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดเหตุ ตนได้ปิดร้านให้เช่ารถจักรยานยนต์แล้ว แต่ยังยืนดูนักท่องเที่ยวอยู่หน้าร้าน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุไม่เกิน 10 เมตร เหตุว่านักท่องเที่ยวเดินออกมาซอยด้านใน ก่อนที่จะมีคนไทยเข้าไปขอปะแป้ง แต่นักท่องเที่ยวปฏิเสธ และเดินออกมาได้อีกเล็กน้อย ก็เห็นว่ามีชนกัน ซึ่งคนเยอะมากการชนกันบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่พบว่า อยู่ดีๆก็ต่อยกัน และตะลุมบอลกันอยู่สักครู่ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะลงไปกองกับพื้นถนน ส่วนคนก่อเหตุก็วิ่งหนีไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างยิ่ง ซึ่งเฉพาะที่ร้านตน ปกติจะให้เช่ารถได้วันละไม่ต่ำกว่า 10 คัน แต่ยอดตกฮวบ เหลือเพียงแค่ 1 คันเท่านั้นในวันนี้

ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461853770

เตือนภัย! สาวขี่จยย.กลับบ้านลำพัง โดนโจรถีบรถล้ม-ปล้นมือถือไปดื้อๆ

เป็นอุทาหรณ์เตือนใจสาวๆไม่ควรขี่รถจักรยานยนต์ไปที่เปลี่ยวเพียงลำพัง โดยเพจ วารินชำราบบ้านเฮาได้โพสต์ภาพเหตุการณ์หญิงสาวโดนคนร้ายถีบรถจักรยานยนต์ เพื่อปล้นรถ แต่โชคดีที่ช่วยบ้านออกมาช่วยทัน ทำให้คนร้ายได้เพียงโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

โดยระบุว่า น้องผู้หญิงขับรถมอเตอร์ไซค์มาคนเดียว โดนผู้ชายใส่หมวกไอ้โม่งถีบรถจักรยานยนต์เพื่อจะเอามอเตอร์ไซค์ แต่โชคดีไปขอความช่วยเหลือกับชาวบ้านได้ทัน โจรได้แค่โทรศัพท์มือถือ บ้านคำขวาง ซอยเซเว่นบ้านธาตุ ต.คำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ห่างจากวัดคำขวางประมาน 800 เมตร ถนนเส้นเรียกอะไรถนนเส้นอะไรไม่รู้เหมือนกัน ช่วยกระจายข่าวให้ด้วยนะครับ

ต่อมา "น้องฝ้าย" ผู้เสียหายได้โพสต์ในเฟซบุ๊ค Faii Cholthicha ระบุว่า ยันรถ... เอาโทสับ...ไป ไม่นึกถึงจิตใจ...เลย วิ่งหนีเกือบตายขอบคุณคุณลุงกับป้าที่ช่วยชีวิตหนู

จากนั้นได้โพสต์ภาพไปทำแผลที่โรงพยาบาลแล้วระบุว่า "เจ็บที่สุด เย็บไป 5 เข็ม ขาและเท้าบวม ขอบคุณทุกคนนะค่ะที่ให้กำลังใจฝ้าย"

ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1461850242

ชาวบ้านช็อก !! ได้ยินเสียงเด็ก 7 ขวบร้อง อย่าทำหนู พอเข้าไปดูใจสลาย !?

เลวสุด!!ผัวใหม่ยายหื่น ข่มขืน หลานสาววัย 7 ขวบ ร้องลั่นบ้าน! “ อย่าทำ หนูเจ็บ”! ทำไปได้ไงบ้าไปแล้ว!! เมื่อตอนค่ำของวันที่ 24 เม.ย.59 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้สอบปากคำชาวบ้านรุมทำร้ายผู้ต้องสงสัยข่มขืนเด็กจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทราบชื่อคือ นายโตน (นามสมมติ) อาย 49 ปี เป็นพนักงานราชการแห่งหนึ่งใน อ.ท่าศาลา จากการสอบสวนทราบว่ามีชาวบ้านกว่า 50 คนรุมทำร้ายนายโตน สามีใหม่ของนาง ตาล ที่เพิ่งอยู่กินกัน 2 เดือน นาง ตาล ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เหตุที่ชาวบ้านรุมทำรายนายโตนจนอาการสาหัสนั้น เพราะว่าได้ก่อเหตุข่มขืนหลานของตน คือ ด.ญ. แตน (นามสมมติ)อายุ 7 ขวบ ช่วงกลางวันของวันที่ 24 เม.ย.ขณะตนเองไม่อยู่ และมีคนได้ยินเสียงหลานร้องว่า “ตาอย่าทำ หนูเจ็บ” ทางญาติได้ยินเสียงจึงวิ่งเข้ามาดู เห็นภาพคาตาขณะนายโตน ข่มขืนหลาน จึงพากันมารุมทำร้ายจนบาดเจ็บ กรณีนี้ไม่ได้เกิดเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว แต่เกิดมาแล้วหลายครั้งเพราะวันที่นายโตน เข้าเวรก็จะพา หลานสาว ไปด้วย อาจจะเคยทำมิดีมิร้ายที่สำนักงานด้วย ที่ผ่านมาหลานเคยนำเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เล่าให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง เรื่องจึงถึงญาติๆ จนรู้ระแคะระคายมานานเกือบ 1 เดือนแล้ว กระทั่งช่วงกลางวัน ตนไม่อยู่บ้าน นายโตนจึงก่อเหตุอีกครั้ง เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ท่าศาลา ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถสอบปากคำ ด.ญ.แตนได้ต้องสอบต่อหน้าผู้ปกครอง พนักงานอัยการ และนักจิตวิทยา เนื่องจากเป็นคดีที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน และเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ไม่สามารถรู้ได้ส่วนนายเอ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยข่มขืนเด็ก ถูกรุมซ้อมจนต้องรักษาตัวในห้องไอซียู ต้องรอสอบปากคำเพิ่มเติมเช่นกัน ที่มา : http://www.siamupdate.com/news-182448

หนุ่มช็อก !! ขับบิ๊กไบค์พาแฟนสาวซ้อนท้ายล้ม บนสะพาน พอหันไปถึงกับช็อก เอาปืนมายิงฆ่าตัวตาย !?

ได้รับแจ้งอุบัติเหตุจากประชาชนว่าบนสะพานภูมิพล เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบสังกัด ขี่รถบิ๊กไบค์โดยมีแฟนสาวซ้อนท้ายเกิดเสียหลักบนสะพาน ส่งผลให้แฟนสาวกระเด็นตกจากรถก่อนที่รถบบรรทุกที่ขับตามมาเบรกไม่ทันเหยียบร่างแฟนสาวเสียชีวิตคาที่ด้าน นายตำรวจ ทำใจไม่ได้ใช้อาวุธปืนที่พกมาด้วย พยายามฆ่าตัวตายตาม แต่เพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันห้ามไว้ได้ทัน ส่งผลให้มีปืนลั่นหลายนัด แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระประแดง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วและได้นำร่างผู้เสียชีวิตไปชันสูตรที่ ร.พ.ตำรวจ ส่วนรายละเอียดเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ ที่มา : http://www.siamupdate.com/news-182447

เจ็บถึงกระดูกดำ เมื่อลูกรักกลับกลายมาเกลียดพ่อที่สุด คนเป็นพ่อทำกับลูกแบบนี้ ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าเสียอีก !!???

ชาวเน็ตด่าเละ!! "ใบเตย อาร์สยาม" ใส่ชุดแบบนี้!! เล่นคอนเสิร์ตสงกรานต์! ทำเอาหลายคนถึงกับรับไม่ได้ (ชมภาพ)

หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่นานสำหรับสาว "ใบเตย อาร์สยาม" ก็กลับมาโชว์คอนเสิร์ตอีกครั้งที่ "BURIRAM" สงกรานต์ GU งาน Chang ที่จังหวัดบุรีรัมย์ งานนี้ชาวแฟน ๆ บุรีรัมย์ถึงกับชุ่มฉ่ำหัวใจกันเป็นแถวๆ กันเลยจ้า

แต่ว่าไป...นางมาผิดคิวไปหน่อยนะเนี๊ย เพราะว่าเล่นใส่ชุดอย่างจะไปว่ายน้ำมาแสดงในงานคอนเสิร์ต เลยทำให้ชาวเน็ตที่ได้เห็นภาพถึงกับทนไม่ไหว เลยมีคอมเม้นท์แซวยับสนั่นหวั่นไหวอย่างนี้กันเลยล่ะ

เครดิต ขอบคุณข้อมูลจาก igdara.in.th, igdara, igdara, hilight.kapook.,howlife.org ที่มา : http://www.tsood.com/contents/148862/

แฟนแคม ของวง LAYSHA จัดเต็มใส่ชุดใหญ่ขนาดนี้ ไม่ดูไม่ได้แล้ว

ผัวเมียคู่หนึ่งกำลัง YES อยู่บนเตียง มีนักโทษคนหนึ่งหนีออกจากคุกเขาพกปืน และหนีเข้าไปในบ้าน พบเข้า เขาจึ่งทำแบบนี้!!

โรคคาวาซากิ โรคร้ายของเด็กเล็ก(s)

คุณพ่อคุณแม่อาจจะพอเคยได้ยินชื่อโรคคาวาาซากิกันมาบ้าง บาคนอาจจะไม่รู้จัก หรือเข้าใจว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง เพราะอาการของโรคจะแสดงออกชัดเจนที่ผิวหนัง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดค่ะ โรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) พบครั้งแรกโดยแพทย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Tomisaku Kawasaki เมื่อปี พ.ศ.2510 หลังจากนั้นก็มีรายงานว่าพบผู้ป่วยเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศ ญี่ปุ่น ตลอดจนประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยค่ะ สาเหตุของโรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) ประเทศไทยมีรายงานการพบผู้ป่วยโรคคาวาซากิครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2519 จนถึงปัจจุบันยังไม่ทราบว่าโรคนี้เกิดจากสาเหตุใด แม้จะมีการศึกษาอย่างมากมายก็ตาม แต่จากหลักฐานทางการแพทย์หลายๆ อย่าง ทำให้คาดว่าเกิดจากการติดเชื้อโรคค่ะ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเชื้ออะไร และยังไม่ทราบว่าสภาพแวดล้อมเช่นไรที่จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคนี้ แต่จะพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวค่ะ โรคนี้จะพบในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และพบมากในช่วงอายุ 1-2 ปี ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คาดว่าเกิดจากการติดเชื้อ เพราะในเด็ก 6 เดือนแรกจะมีภูมิต้านทานจากนมแม่ ทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้น้อย หลังจาก 5 ขวบไปแล้วก็อาจจะมีภูมิคุ้มกันแล้วจึงไม่พบว่าเป็นโรคนี้ และเมื่อเปรียบเทียบอัตราผู้ป่วยระหว่างเด็กชายและเด็กหญิงจะเท่ากับ 1.5 : 1 คนค่ะ อาการโรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) อาการเริ่มต้นของโรคนี้คือ 1. เด็กจะมีไข้สูงแบบเฉียบพลัน จะไม่ใช่ค่อยๆ สูงขึ้น ซึ่งไข้จะสูงมากถึง 39-40 องศาเซลเซียส และมีไข้มาแล้วอย่างน้อย 5 วัน 2. ตาแดง เยื่อบุตาขาวทั้งสองข้างจะแดง ไม่แฉะ ไม่มีขี้ตา เป็นหลังมีไข้ประมาณ 1-2 วัน และเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์ 3. มีการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปากและในช่องปาก คือ ริมฝีปากแห้ง แดงแตก ลิ้นเป็นตุ่มนูนและแดงเหมือนผิวสตรอว์เบอร์รี่ (Strawbery tongue) โดยจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ค่ะ 4. การเปลี่ยนแปลงของมือและเท้า ในระยะแรกจะพบฝ่ามือ ฝ่าเท้าแดงและหรือบวม ในระยะหลังประมาณวันที่ 12 ของโรค อาจพบการลอกของผิวหนังซึ่งจะเริ่มต้นที่บริเวณปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า และสามารถลามไปที่ฝ่ามือฝ่าเท้า บางรายอาจเล็บหลุดได้ บางราย 1-2 เดือนจะมีรอยขวางที่เล็บค่ะ 5. มีผื่นขึ้นตามร่างกาย มักเกิดหลังมีไข้ 1-2 วัน ซึ่งมีได้หลายแบบ เช่น เป็นจุดแดงๆ เล็กๆ ทั่วตัว หรือเป็นผื่นแดงๆ เล็กๆ เหมือนหัดก็ได้ บางคนเป็นผื่นนูนใหญ่ๆ คล้ายลมพิษ 6. ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต ส่วนใหญ่จะโตข้างเดียว มีขนาดใหญ่พอสมควรคือมากกว่า 1.5 ซม. อาจจะมีอาการแดงของผิวหนังบริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย พบประมาณร้อยละ 50-70 ของผู้ป่วย อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วย ได้แก่ ปวดตามข้อ กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ ท้องเสีย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น แต่อาจจะมีอาการไม่ครบทั้งหมดก็ได้ค่ะ คือถ้าไข้ร่วมกับอาการ 4 อย่างจากทั้งหมด 5 อย่าง คุณหมอก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคนี้ ปัญหาสำคัญของโรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ถือเป็นปัญหาสำคัญสำหรับโรคนี้ เพราะสามารถทำให้เด็กเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ และเนื่องจากเมื่อเด็กเป็นโรคนี้และมีอาการไข้แล้ว บางครั้งไข้สามารถลดลงเองได้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบว่าลูกเป็นโรคนี้ และเกิดความเข้าใจผิดว่าลูกหายเป็นปกติแล้ว แต่ความจริงโรคคาวาซากิ สามารถก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่หัวใจและหลอดเลือดได้ คือทำให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงหัวใจอักเสบ มีการโป่งพอง และหากเส้นเลือดเกิดการโป่งพองเกิน 8 มิลลิเมตร อาจทำให้เส้นเลือดแตกและทำให้เด็กเสียชีวิตอย่างกะทันหันได้ค่ะ การรักษาโรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) ถึงแม้จะไม่ทราบว่าโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีวิธีการรักษาค่ะ คือเมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าลูกเป็นโรคนี้ก็จะรักษาโดยการให้ IVIG (Intravenous immunoglobkon) ซึ่งเป็นภูมิต้านทานที่สกัดมาจากเลือด หยดให้ทางเส้นเลือดเหมือนน้ำเกลือ ในปริมาณ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยคุณหมอจะให้ IVIG ครั้งเดียวนานประมาณ 12 ชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อได้รับ IVIG แล้วภายใน 24-48 ชั่วโมงไข้จะลดลง และรักษาโดยยาแอสไพริน ซึ่งเป็นตัวยาลดไข้ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยให้ในปริมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ประมาณ 14 วัน หลังจากนั้นลดลงเหลือ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ให้ต่อไปอีก 6-8 สัปดาห์ก็จะจบคอร์สการรักษาค่ะ สมัยก่อนยังไม่มี IVIG แพทย์จะรักษาโดยใช้ยาแอสไพรินอย่างเดียว พบว่าเด็กมีอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนหัวใจ 20-25% คือในเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ 4 คนจะมีโรคแทรกซ้อนหัวใจ 1 คน แต่หลังจากมีการรักษาด้วย IVIG อัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนหัวใจลดลงเหลือเพียง 2-4% เท่านั้นค่ะ ปัญหาข้อหนึ่งของการรักษาด้วย IVIG คือราคาสูงมาก เนื่องจากต้องให้ในปริมาณต่อน้ำหนักตัว เด็กน้ำหนักน้อยอาจจะจ่ายค่ายา 40,000-50,000 บาท ในขณะที่เด็กที่มีน้ำหนักตัวมากค่ายาอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า นอกจากนั้นยังต้องมีการทำ Echocardiogram เพื่อตรวจดูว่ามีโรคแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากเช่นกันค่ะ เมื่อรักษาหายแล้ว มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกหรือไม่? โดยมากเด็กที่ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติดีแล้ว ก็จะสามารถเล่น และทำกิจกรรมเหมือนเด็กทั่วๆ ไปค่ะ โอกาสที่จะกลับมาป่วยเป็นโรคนี้อีกมีน้อยมาก อาจพบได้เพียง 1-3% เท่านั้น ได้ทราบข้อมูลของโรคและอาการแทรกซ้อนของโรคคาวาซากิแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเกิดอาการเป็นกังวลเมื่อลูกเป็นไข้ อย่าเพิ่งตกอกตกใจไปนะคะ เพราะในประเทศไทยพบโรคนี้ไม่บ่อยค่ะ แต่หากลูกเป็นไข้และคุณแม่พาไปหาหมอหลายวันแล้วอาการไข้ คอแดง ยังไม่หาย ก็ควรจะพาลูกไปตรวจซ้ำ เพราะโรคนี้หากวินิจฉัยได้เร็ว ผลแทรกซ้อนก็จะพบได้น้อยเช่นกันค่ะ ที่มา : http://sanokwanee.blogspot.com/2015/12/s.html

ด่ายับไม่ให้เหลือ!! ชาวเน็ตเผยชัดๆ "วิธีแก้แค้น" แตงโม-กระต่าย ในเพื่อนรักเพื่อนร้าย!! ถึงขั้นต้องทำวิธีนี้!! บอกเลยน้ำตาไหลแทน!!(ชมภาพ)

Published on: 21 เม.ย. 2559 เรียกได้ว่าเป็นละครที่มีกระแสตอบรับดีเยี่ยมสุดๆ สำหรับ เพื่อนรักเพื่อนร้าย ที่ตอนนี้เนื้อเรื่องดำเนินใกล้ถึงตอนจบแล้ว และเผยปมที่สับซ้อนความสัมพันธ์บางอย่างที่หลายคนต่างลุ้นกันหนัก ซึ่งตอนล่าสุดเผยให้เห็นว่า แตงโม (น้องเชอรี่) ได้มาคบกับ กระต่าย (น้องการ์ตูน) และวางแผนทำลายชีวิตอย่างแนบเนียนโดยการติดกล้องระหว่างพลอดรักนั้นเอง ดังภาพต่อจากนี้

รับรองว่าตอนที่ 12 คงทำให้แฟนๆต่างลุ้นและติดตามกันสุดสำหรับละครเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามดูได้แต่ต้องใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยนะคะ ขอบคุณที่มา : twitter Chymhongz , twitter เพื่อนรักเพื่อนร้าย ที่มา : http://www.news-lifestyle.com/contents/149503/

ภัยแล้งพ่นพิษ !! ฉุดผลผลิต "มะนาว" ชัยนาทตกต่ำ! ทำราคาพุ่งเฉียด ลูกละ 10 บาท

เดือดปุดๆ!! "ผวจ.น่าน" โพสต์ท้านักเลงคีย์บอรด์ ช่วยปลูกป่า 5 แสนไร่ หลังฝอยข้อมูลผิดๆ !?

จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "ทวงคืนผืนแผ่นดินไทย" ได้มีการโพสต์ภาพพร้อมกล่าวถึงปัญหาภูเขาหัวโล้นในพื้นที่ จ.น่าน โดยระบุว่า "สองข้างทางของจังหวัดน่าน เป็นเช่นนี้ ผู้ว่าจังหวัดน่าน และหน่วยงานรัฐพวกท่านเพิกเฉยได้อย่างไร กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนนะครับไม่ละอายใจบ้างหรือ" จากนั้นมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ ผวจ.น่าน ได้ที่แจ้งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตนตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องใช้เวลาในการแก้ไข ซึ่งตั้งแต่รับตำแหน่ง (1 ต.ค. 58) ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องป่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด และหลายฝ่ายก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ ต้องขอขอคุณทุกคนที่ร่วมแสดงความคิดเห็น และจะนำความคิดเห็นต่าง ๆ ไปปรับปรุงต่อไป ทั้งนี้พื้นที่ จ.น่าน เป็นสีเขียวอ่อน และสีเขียวแก่ ไม่มีพื้นที่สีม่วงให้ทำอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องมาหาคำตอบต่อไปว่าถ้าไม่ให้ปลูกข้าวโพดแล้วจะให้ปลูกอะไร และจะปลูกหรือเปลี่ยนอาชีพให้ถูกต้องตามที่กรมป่าไม้กำหนดอย่างไร ทั้งนี้เป้าหมายที่ตนมีคือการสร้างป่า สร้างรายได้เหมือนกับดอยตุง ดอยอ่างขาง และดอยลับแล นอกจากนั้นในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ ผวจ.น่าน ได้มีการโพสต์ภาพ แผนผังถอดรหัสการพัฒนาจังหวัดน่าน สู่ความยั่งยืนภายใต้แนวคิด 2 ปี 4 ขับเคลื่อนของ ผวจ.น่าน ในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามแนวทางที่ได้วางแผนไว้ และภาพภูเขาหัวโล้นจำนวนหลายลูก พร้อมระบุว่า ผมและผู้บัญชาการดิ๊ก(มณฑล38)จะเป็นศัตรูกับทุกคนที่มาด่าว่าจังหวัดน่าน เอาน่านมาเป็นเคริ่องมือทำเงินในการโพสโดยไม่มีข้อเสนอแนะ ความเห็นโดยไม่มีข้อเสนอแนะว่าต้องหรือควรทำอย่างไร หนึ่ง สองสาม นักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย ผมมีพื้นที่ให้พวกคุณปลูกป่ากว่า 500000ไร่คุณมาช่วยผมปลูกหน่อยครับ

ที่มา : http://social.tnews.co.th/contents/186746/

ควันหลงสงกรานต์!! ชม "สเต็ปแดนซ์" สุดกวนของชายรายนี้ ที่ทำเอาคนขำทั้งบาง !! (ชมคลิป)

ชมบรรยากาศสุดครึกครื้นงานวันสงกรานต์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่สร้างความสนุกสนานด้วยการใช้เสียงเพลง และแน่นอนว่า เมื่อมีเพลงสนุกก็ต้องมีคนมาออกสเต็ปเด็ดๆ ให้ชม เช่น งานสงกรานต์ที่เชียงแสน ชายรายนี้ได้ครีเอทท่าเต้นได้สุดกวน จนใคร ๆ ก็ยืนมุ่งดู คลิปจาก : fb สเปียร์ มิ้นต์‎

อนาถสังคม!!! ศพทารกยัดถุงดำ ทิ้งริมมอเตอร์เวย์ คาดแม่รักสนุกทิ้งเอง

อนาถสังคม!!! ศพทารกถูกยัดถุงดำถุง ทิ้งกองขยะคู่ขนานมอเตอร์เวย์ย่านสะพานสูง อายุราว 7 เดือน ยังมีสายรกติดอยู่ ตร.คาดอาจเป็นแม่ของเด็กทำแท้งเอง... วันนี้ (2 เม.ย.) ผู้สื่้อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. ร.ต.อ.ไอศวรรย์ ปฐมสันติพงศ์ รองสว.สอบสวน สน.บางชัน พ.ต.อ.สุวิชชา จินดาคำ ผกก.สน.บางชัน พร้อมด้วยมูลนิธิร่วมกตัญญู รุดไปสอบสวนเหตุพบศพเด็กทารก ถูกนำมาทิ้งไว้บริเวณกองขยะริมถนนคู่ขนานกาญจนาภิเษก มุ่งหน้า ถ.ร่มเกล้า แขวงและเขตสะพานสูง ใกล้คลองแม่จัน ที่เกิดเหตุเป็นพงหญ้าข้างทางที่ชาวบ้านย่านนั้นนำขยะมาทิ้ง พบถุงขยะสีดำ และถุงห้างโลตัสใส่ศพเด็กทารกเพศหญิงอายุครรภ์ราว 7 เดือน ยังมีสายรกติดอยู่ที่สะดือ ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว ตรวจสอบไม่พบบาดแผล คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำ 1 วัน สภาพศพเริ่มเน่า จึงมอบศพให้มูลนิธิร่วมกตัญญู นำส่งสถาบันนิติเวชฯ เพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุ ด้าน พ.ต.อ.สุวิชชา จินดาคำ ผกก.สน.บางชัน กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีที่ไปตกปลาได้กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายศพจึงแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบว่าเป็นศพเด็กทารกอายุครรภ์ราว 6-7 เดือน ถูกนำมาทิ้งไว้ น่าจะเป็นแม่วัยรุ่นที่แท้งแล้วนำมาทิ้ง เบื้องต้นจากการตรวจตามร่างกายไม่พบบาดแผล ขณะนี้ส่งศพไปชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตาย และสั่งให้ชุดสืบสวนออกตรวจหาพยานแวดล้อม เพื่อหาตัวคนที่นำศพทารกมาทิ้งแล้ว ที่มา : http://social.tnews.co.th/contents/185053/

ยกย่องหัวใจ ! หนุ่มกระบี่น้ำใจงาม ช่วยชาวต่างชาติเปลี่ยนยางรถ โดยไม่หวังผลตอบแทน

ชาวเน็ตยกย่องหนุ่มกระบี่จอดรถลงช่วยเหลือชาวต่างชาติเปลี่ยนยางรถยนต์ท่ามกลางแดดที่ร้อน โดยไม่หวังผลตอบแทน จนสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก วันนี้ (1 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุสุดฮือฮาบนโลสังคมออนไลน์ เมื่อเพจ ทันข่าว อุบัติเหตุกระบี่ แฟนเพจเฟซบุ๊ก ได้มีการการแชร์ภาพชายหนุ่มน้ำใจงามช่วยฝรั่งต่างชาติเปลี่่ยนล้อรถ บริเวณ ถนนเพชรเกษม ต.คลองท่อมใติ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ท่ามกลางแดดที่ร้อนอบอ้าว หลังเปลี่ยนเสร็จ หนุ่มดังกล่าวไม่หวังสิ่งตอบแทนใด สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

สำหรับหนุ่มฮีโร่รายนี้ มีชื่อว่า นายจักรพงษ์ ยิ่งยง (ดิว) อายุ 25 ปี อาชีพขายน้ำดื่ม เปิดเผยว่า ช่วงเที่ยงวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้ขับรถไปส่งน้ำดื่มที่ ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ระหว่างทางพบรถยนต์ ของชาวต่างชาติจอดริมถนน มีนักท่องเที่ยว ทั้งชายและหญิง ยืนโบกเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีรถคันใดจอดเลย ตนที่กำลังจะไปส่งน้ำ จึงลงไปตรวจสอบ พบว่ายางรถล้อหน้าซ้ายระเบิด จึงได้เอาเครื่องมือในรถของตน เข้าไปช่วยเปลี่ยนล้อยางให้ แต่การเปลี่ยนเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะน็อตแข็ง อากาศก็ร้อนอบอ้าว กว่าจะถอดเปลี่ยนสำเร็จใช้เวลาอยู่นาน หลังเปลี่ยนเสร็จชาวต่างชาติดีใจกันมาก จะให้สินน้ำใจ.. แต่ตนไม่รับ ชาวต่างชาติทั้งหมด พยายามแสดงความขอบคุณตน เป็นอย่างมาก

ที่มา :http://social.tnews.co.th/contents/184892/

แทบสิ้นหวัง !! "ชาวราชสาส์น" นับ 100 ชีวิต! ทนทุกข์ความมืดมิด กว่า 20 ปี ครวญ "ขอแค่ได้ใช้ไฟฟ้ากับเขาบ้าง" !?

เมื่อวันที่ 30 มี.ค.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบหมู่บ้านตกสำรวจจากการให้บริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมีชาวบ้านนับร้อยรายทั้งประเภทบ้านเรือนอยู่อาศัย และผู้ที่เข้ามาประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์น้ำ เลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลา ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และต้องตกอยู่ในความมืดมิดมานานถึงกว่า 20 ปีแล้ว ขณะที่เส้นทางการสัญจรเดินทางเข้าออกจากหมู่บ้านนั้น ยังคงเป็นถนนลูกรังและยังเกิดความเสียหายเป็นหลุม บ่อ ทำให้ชาวบ้านสัญจรด้วยความยากลำบากตลอดเส้นทางอีกด้วย โดย นายวีระ จุทาสา อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 ม.5 ต.เมืองใหม่ อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่สองหมู่บ้าน คือ ม.5 และ หมู่ 7 ต.เมืองใหม่ อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่เลียบชายคลองชลประทาน ซอย 2 ต่างได้รับความเดือดร้อนกันมาอย่างยาวนาน ทั้งถนนเส้นทางการสัญจรเข้าสู่หมู่บ้านที่ยังเป็นถนนลูกรังมีพื้นผิวการจราจรเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนชาวบ้านจะสัญจรเข้าออกจากหมู่บ้านด้วยความยากลำบากมาก โดยเฉพาะเด็กๆ นักเรียน ที่จะต้องเดินทางไปโรงเรียนนั้น เสื้อผ้าก็จะเปื้อนทั้งฝุ่นในช่วงฤดูแล้ง และเปื้อนโคลนในช่วงฤดูฝน อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มาเป็นเวลานานถึงกว่า 20 ปีแล้ว โดยชาวบ้านนั้นต้องใช้ตะเกียง และเทียนไข ในการจุดส่องสว่างในครัวเรือน ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากมีลมพัดแรง และเทียนหรือตะเกียงล้มดับไปจนมองไม่เห็น หรืออาจเกิดการลุกไหม้บ้านเรือน ที่ผ่านมาได้เคยไปร้องขอต่อทางสำนักงานกำกับกิจการพลังงานประจำเขต 8 จ.ชลบุรี มาแล้วหลายครั้ง และรับปากว่าจะเข้ามาดำเนินการให้ชาวบ้านได้มีไฟฟ้าใช้ ในช่วงต้นปี 2559 แต่จนถึงวันนี้ ผ่านมา 3 เดือนแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะมีการเข้ามาดำเนินการอะไรให้แก่ชาวบ้านเลย ส่วนการซ่อมแซมถนน ขนาดความยาวเกือบ 4 กม.นั้น ชาวบ้านได้เคยร้องขอไปยังทางประทานผู้ใช้น้ำให้ช่วยซ่อมแซมให้พื้นผิวการจราจรอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้สะดวก แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ยังไม่มีงบประมาณที่จะนำมาซ่อมแซมให้อีก ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านจึงยังคงได้รับความเดือดร้อนจากความยากลำบาก และเฝ้ารอคอยหน่วยงานภาครัฐต่อไป นายวีระ กล่าว และกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาในช่วงฤดูฝนนั้น ถนนสายนี้มีพื้นผิวการจราจรที่เละ มีแต่น้ำขังสภาพเปรียบเสมือนเบ้าขนมครก เพราะมีแต่หลุมและมีน้ำเต็มไปหมด การสัญจรผ่านจึงลำบาก และในหน้าแล้งก็มีแต่ฝุ่นละอองสีแดงปลิวติดตามเสื้อผ้า เคยร้องขอไปทาง อบจ.ฉะเชิงเทราแล้ว แต่ทาง อบจ.บอกว่าถนนเป็นของกรมชลประทาน ซึ่งอยู่คนละหน่วยงานกันไม่สามารถที่จะจัดงบประมาณมาช่วยซ่อมแซมให้ชาวบ้านได้ ส่วนด้าน นางจินดา วรประสพ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61 ม.5 ต.เมืองใหม่ กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนถนนสายนี้ก็มีแต่น้ำท่วมขังในหลุม เดินทางออกจากหมู่บ้านไม่รู้ว่าจะหลบไปทางไหนได้จึงจะพ้นหลุม เคยร้องขอไปหลายหน่วยงานก็มาทำได้เพียงแค่เอารถแทรกเตอร์มาช่วยเกดปราดหน้าดินให้เลียบขึ้นบ้างได้เท่านั้น ชาวบ้านจึงไม่รู้ว่าจะไปพึ่งหน่วยงานไหนจึงจะแก้ไขได้ นางจินดา กล่าว ขณะที่ นายติ่ง วรรณโมลี รองนายก อบต.เมืองใหม่ กล่าวชี้แจงว่า ถนนสายนี้เป็นของกรมชลประทาน ซอยสองขวา คลองท่าลาด มีปัญหาเรื่องการสัญจร เพราะเป็นถนนลูกรังและเป็นหลุมเป็นบ่อ หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ไม่มีงบประมาณที่จะมาแก้ไข ส่วนเรื่องชาวบ้านในหมู่ที่ 5 ไม่มีไฟฟ้าใช้นั้น ทาง อบต.ได้เตรียมที่จะจัดทำงบประมาณในปี 2559 ให้ แต่ถ้าหากจะมีหน่วยงานอื่นมาช่วยสนับสนุนก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานทางการไฟฟ้า เนื่องจากทาง อบต. มีงบประมาณจำกัด และยังต้องดูแลประชาชนอีกทั้ง 9 หมู่บ้าน โดยปัญหาที่ประชาชนไม่มีไฟฟ้าใช้มานานถึงเกือบ 20 ปี นั้น เนื่องจากสภาพพื้นที่ของหมู่บ้านหมู่ที่ 5 นั้น มีสภาพของบ้านเรือนที่อยู่ห่างไกลกัน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง จึงทำให้งบประมาณในส่วนของ อบต.เองนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้าน ซึ่งหากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงสามารถดำเนินการได้ในส่วนนี้ก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น นายติ่ง กล่าว โดย นางสมใจ หอมจันทร์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 ม.5 ต.เมืองใหม่ อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา ชาวบ้านผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้ กล่าวว่า "ที่ผ่านมาได้พยายามเดินเรื่องขอใช้ไฟฟ้ามานานแล้วเป็นเวลานับสิบปี ตั้งแต่ยุคผู้ใหญ่บ้านคนเก่า จนมาถึงคนใหม่ยุคปัจจุบันก็ยังไม่ได้ใช้ไฟฟ้า แต่เมื่อเห็นทางหน่วยงานที่รับผิดชอบเริ่มตอบกลับเป็นหนังสือมาก่อนหน้านี้ ก็ดีใจและมีความหวังมากขึ้น แต่มาถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามเดือนตามกำหนดแล้ว ไฟฟ้าก็ยังไม่มา ลูกหลานก็ยังไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม ก็อยากให้ลูกๆ หลานๆ ได้ใช้ไฟฟ้ากันอย่างเร็ว จะมีอะไรที่เป็นความสุขเท่ากับที่จะได้ใช้ไฟฟ้าในเวลานี้ก็คงไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าชาวบ้านยังคงตั้งตารอคอยกันอยู่" นางสมใจ กล่าว ที่มา :http://social.tnews.co.th/contents/184906/